นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านได้สอบกันเข้ามาในเรื่องของการปลูกมะละกอ
โดยเฉพาะปัญหามะละกอใบเหลืองในระยะปลูกใหม่ หรือปลูกไปสักระยะเกิดอาการใบเหลือง
ใบร่วง ต้นโทรม และตายในที่สุด ผมจึงรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์จริงที่ทำสวนเกษตรผสมผสานโดยเฉพาะการปลูกมะละกอฮอลแลนด์ที่ผ่านมาก็ร่วม
4 ปี ก็พอมีความรู้บ้าง
ขอนำเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังพอเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งสาเหตุหลักๆที่มะละกอเกิดอาการใบเหลืองหลักๆก็มีอยู่ 5 สาเหตุคือ
ขอนำเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังพอเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งสาเหตุหลักๆที่มะละกอเกิดอาการใบเหลืองหลักๆก็มีอยู่ 5 สาเหตุคือ
1. ขาดไนโตรเจน
ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักที่คนทำเกษตรต้องรู้เกี่ยวกับการขาดธาตุอาหารหลักของพืชโดยเฉพาะ
N-P-K
เพราะถ้าพืชขาดธาตุอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะแสดงอาการให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างเช่น
ถ้าขาดธาตุ ไนโตรเจน ใบของพืชจะมีมีสีเขียวซีดแล้วจะค่อยๆเหลือง
โดยจะสังเกตได้จากใบแก่ที่อยู่ด้านล่างของพืช ต้นจะแคระแกร็นและโตช้า ในกรณีพืชขาด
ฟอสฟอรัส บนแผ่นใบจะมีสีม่วงแดงขอบใบจะใหม่และม้วนงอ ต้นพืชจะผอมสูงและโตช้า ส่วนในกรณีที่พืชขาด
โพแทสเซียม
ลักษณะใบที่อยู่ด้านล่างจะมีจุดสีน้ำตาล ใบแห้งเป็นมันขอบใบม้วนงอ
พืชจะโตช้าผลสุกเสมอไม่เท่ากัน อันนี้ถือเป็นความรู้เสริมนะครับ
ส่วนในกรณีของพืชใบเหลืองที่ขาดในโตรเจนผมก็มีวิธีแก้แบบเร่งด่วนแบบง่ายๆนั่นก็คือให้นำปุ๋ยสูตร
46-0-0 ปริมาณ 1 ช้อนแกงผสมน้ำ 1 แก้ว คนละลายให้เข้ากัน
จากนั้นนำไปเทใส่บัวรดน้ำเติมน้ำให้เต็ม หรือนำไปใส่ถังสำหรับพ่นปุ๋ยทั่วไป (อัตราส่วนเทียบเท่ากับปุ๋ยสูตร
46-0-0 ปริมาณ 1 ช้อนแกงผสมน้ำ 15-20 ลิตร)
จากนั้นให้นำไปรดหรือฉีดพ่นทั่วทรงพุ่มของต้นมะละกอที่เกิดอาการดังกล่าว 1
บัวรดน้ำจะรดได้ 10 ต้น (นี่คือวิธีแก้ปัญหาในกรณีของมะละกอที่ปลูกลงดินแล้ว)
ส่วนในกรณีที่เป็นต้นกล้าที่เกิดอาการใบเหลืองให้เราทำแบบเดียวกัน
เพียงแต่เมื่อรดหรือฉีดพ่นน้ำปุ๋ยเสร็จทั่วแปลงแล้ว ให้รดน้ำเปล่าตามด้วย
เพื่อลดความเข้มข้นของปุ๋ยลงไป
ป้องกันไม่เกิดปัญหาใบไหม้เนื่องจากปริมาณความเข้มข้นของปุ๋ยที่สูงเกินไป
หรืออาจลดอัตราส่วนของปุ๋ยที่ผสมลงเป็นครึ่งช้อนแกงผสมน้ำ 20 ลิตร
รดที่ต้นกล้าให้ทั่วแปลงก็ได้ วิธีแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1
ครั้ง หรือ 2 สัปดาห์/ครั้งก็ได้
จนกระทั่งเห็นว่าใบมะละกอเริ่มฟื้นกลายเป็นสีเขียว
ต้นมะละกอมีความสมบูรณ์ดีแล้วค่อยดูแลแบบชีวภาพต่อไป
อาจจะฉีดพ่นด้วยจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเป็นระยะ
สลับกับน้ำหมักชีวภาพต่างๆที่เรามีอยู่
ปัญหาเรื่องมะละใบเหลืองก็จะค่อยๆหายไปต้นมะละกอก็จะเจริญเติบโตได้ไว
2. ขาดน้ำ หรือ
ให้น้ำในปริมาณที่มากเกินไป
มะละกอใบเหลืองต้นแคระส่วนใหญ่จะเป็นมะละกอที่ปลูกในช่วงหน้าฝน
หรือไม่ก็มีการให้น้ำที่บ่อยและมากเกินไป หรือรดน้ำจนแฉะเกินไปในระยะเวลาติดๆกัน
เพราะในช่วงเป็นต้นกล้าเล็กๆหรือช่วงปลูกใหม่ขอย้ำเลยนะครับว่า
เราไม่ควรให้น้ำต่อเนื่องนานเกินไป หรือไม่ควรให้น้ำติดต่อกันหลายวัน
จนทำให้รอบโคนต้นมะละกอชื้นแฉะเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาที่ราก
พอรากมะละกอเริ่มเสียหายก็จะส่งผลให้มะละกอใบเหลือง ถ้ารากเน่าเสียหายมากอาจทำให้ใบร่วงต้นแคระแกรนและตายในที่สุดซึ่งจะเห็นได้ทั้งกับมะละกอที่เริ่มปลูกใหม่และมะละกอที่กำลังให้ผลผลิตหรือแม้กระทั่งมะละกอที่ให้ผลผลิตไประยะหนึ่งแล้ว
วิธีแก้ก็คือไม่ควรให้น้ำบ่อยเกินไปอาจให้น้ำวันเว้นวันในช่วงหน้าแล้ง หรือ 3-5
วัน/ครั้งในช่วงหน้าฝน ข้อนี้ก็ต้องพิจารณาตามสภาพอากาศและความชื้นในดินด้วย
ในกรณีที่เราปลูกหน้าฝน มีฝนตกหนักติดต่อกันนานหลายวันควรงดให้น้ำ
หรือถ้ามีน้ำขังแปลงก็ให้รีบระบายน้ำออกอย่าให้มีน้ำขังเป็นอันขาด
เพราะจะเกิดปัญหารากมะละกอเน่าเสียหายได้
3.
วัสดุรองพื้นหลุมเกิดความร้อนสูงทำลายราก
ในกรณีที่เราปลูกใหม่ถ้าผสมปุ๋ยคอกกับหน้าดินน้อยเกินไป
เมื่อนำต้นกล้ามะละกอลงปลูกจะทำให้เกิดความร้อนสูงอยู่ภายในดิน
เพราะกระบวนการย่อยสลายและการหมักตัว
ซึ่งจะส่งผลทำให้ความร้อนไปอบรากมะละกอที่ปลูกใหม่เกิดอาการรากเน่า
ต้นโทรมใบเหลืองได้ ในการปลูกมะละกอแนะนำให้ขุดหลุมลึกประมาณ 10 เซนติเมตร
แยกหน้าดินไว้ต่างหาก จากนั้นให้รองพื้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอัตรา 1 ถ้วย
หรือครึ่งกก./หลุม กลบด้วยหน้าดินเป็นชั้นกั้นเอาไว้ก่อน
การปลูกมะละกอควรเริ่มตั้งแต่เลือกต้นกล้าที่มีใบจริงประมาณ 3-4 ใบเตรียมไว้
(ใบจริงก็คือใบที่มีหยักเหมือนในภาพนี้) จากนั้นให้ขุดหลุมลึกประมาณ 10 เซนติเมตร
แยกหน้าดินไว้ต่างหาก รองพื้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเก่า
อาจผสมคลุกเคล้าในหลุม แล้วเอาหน้าดินปิดทับบางๆ เพื่อป้องกันความร้อนจากวัสดุรองพื้นทำลายรากมะละกอที่ปลูกใหม่
เสร็จแล้วให้วางต้นมะละกอลงไป
ระวังอย่าให้ตุ้มดินแตกเพราะจะทำให้รากฝอยได้รับความเสียหายทำให้มะละกอโตช้า
(ทางที่ดีควรงดน้ำก่อนปลูกประมาณ 2 วัน) พอวางต้นกล้ามะละกอลงไปแล้ว
ให้กลบด้วยหน้าดินที่ขุดขึ้นมา พูนดินรอบโคนต้นให้สูงกว่าผิวดินประมาณ 1 ข้อมือ
กดรอบโคนต้นให้แน่น ถ้าปลูกในช่วงหน้าฝนไม่ต้องคลุมโคนต้นก็ได้
แต่ถ้าปลูกมะละกอในช่วงหน้าแล้ง แนะนำให้หาเศษฟางหรือเศษใบไม้แห้งคลุมโคนต้นเอาไว้
เพื่อรักษาความชื้น แต่ไม่ควรคลุมฟางชิดโคนต้นมากเกินไป
เพราะในกรณีให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากหรือโคนต้นมะละกอเน่าได้
การเว้นระยะห่างระหว่างโคนต้นก็เพื่อให้แสงแดดส่องผ่านถึงโคนต้นมะละกอได้เป็นการป้องกันเชื้อราอีกด้วย
4. น้ำขังรอบโคนต้น หรือ
ปลูกบนพื้นที่ราบไม่มีการยกร่อง
การปลูกมะละกอที่ถูกต้องแนะนำว่าไม่ควรทำเป็นแอ่ง
ควรปลูกให้โคนต้นสูงกว่าผิวดินประมาณ 1 เซนติเมตร
เพื่อป้องกันน้ำขังโดยเฉพาะหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็นแปลงที่ยกร่องหรือไม่ยกร่องก็ตาม
เพราะมะละกอจัดว่าเป็นพืชอวบน้ำ มีระบบรากอ่อนแอเหมือนผักหวานป่าในช่วงปลูกใหม่ๆ
มะละกอเป็นพืชที่ชอบความชื้นพอประมาณ แต่ไม่ชอบแฉะ
ชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบดินเหนียว
เพราะถ้าปลูกในสภาพดินเหนียวส่วนใหญ่จะเกิดความเสียหายที่ราก (รากเน่า) ใบเหลือง
ใบเหี่ยว ร่วง ต้นโทรมและตายในที่สุด
ยิ่งถ้าพื้นที่ปลูกเป็นดินเหนียวหากไม่มีการปรับปรุงบำรุงให้ดินมีสภาพร่วนซุย
ไม่มีการบำรุงดินให้ระบายน้ำได้ดี ซึ่งวิธีการบำรุงดินตามสูตรที่ผมทำคือ
นำปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกผสมกับขี้เถ้าถ่านหรือแกลบดำอัตรา 40 กระสอบ/ไร่ (ปุ๋ยคอก 20
กระสอบ + แกลบดำหรือขี้เถ้าถ่าน 20 กระสอบ) หว่านทั่วแปลงแล้วไถพรวนให้เข้ากัน
จากนั้นค่อยยกร่อง ก็จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดินเสื่อมโทรมได้ อันนี้ก็คือวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวที่ยั่งยืน
ซึ่งจะทำให้มะละกอโตไวให้ผลผลิตสูงอย่างต่อเนื่องนานหลายปี
5.
การให้น้ำหรือวางระบบน้ำผิดวิธี
คือมีการวางระบบน้ำผิดหลักอย่างที่สวนผมเคยผิดพลาดมาจนทำให้มะละกอรากเน่าและตายไปก็หลายต้น
คือจัดวางปีกผีเสื้อหรือน้ำหยดชิดโคนต้นมากเกิน น้ำไม่กระจายสู่รากฝอย
เมื่อน้ำหยดใส่โคนต้นมะละกอนานๆทำให้บริเวณโคนต้นมีน้ำขังนานเกิดความชื้นมากเกินไปทำให้รากบริเวณน้ำเน่าเสียหาย
สุดท้ายก็เกิดอาการใบเหลือง ใบเหี่ยว และตายในที่สุด
การให้น้ำมะละกอที่ดีที่สุดคือการให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์ หรือถ้าให้น้ำด้วยมินิสเปรย์ปีกผีเสื้อ
ก็ควรติดให้ห่างโคนต้นมะละกอประมาณ 10 เซนติเมตร
และที่สำคัญควรเร่งกำลังเครื่องสูบน้ำ
ให้น้ำกระจายตัวในรัศมีกว้างออกไปรอบโคนต้นมะละกอ
เพื่อให้รากฝอยที่อยู่โดยรอบต้นมะละกอได้รับความชุ่มชื้นเท่าๆกัน
นี่ก็คือวิธีแก้ปัญหาหลักๆที่ผมได้รวบรวมจากประสบการณ์จริงที่ได้ปลูกมะละกอมา
เป็นวิธีแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานอย่างง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้ไม่ยุ่งยาก
นำมาบอกเล่าสู่กันฟังถือว่าประดับความรู้นะครับ.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น