มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน”
มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” มะละกอสายพันธุ์ใหม่
สวัสดีครับเพื่อนๆคนรักเกษตรทุกท่าน สำหรับวันนี้ขออนุญาตนำเสนอมะละกออีกหนึ่งสายพันธุ์
ที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรจังหวัดพิจิตร ได้นำเมล็ดพันธุ์มาจากประเทศทางแถบอเมริกากลาง
และนำมาคัดเลือกพันธุ์ซึ่งใช้เวลานานกว่า 10 ปี จนประสบผลสำเร็จ
มีรายละเอียดดังนี้ครับ
มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” มะละกอสายพันธุ์ใหม่ จะมีทรงผลคล้ายกับมะละกอเรดมาราดอล์
หรือที่บ้านเราเรียก มะละกอฮอลแลนด์ หรือปลักไม้ลาย แต่จะมีขนาดของผลใหญ่กว่ามาก คือมีขนาดผลใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
น้ำหนักผลเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3-5 กิโลกรัม เป็นมะละกอที่มีเนื้อหนาและมีสีแดงส้ม
และรสชาติหวานเหมือนมะละกอแขกดำ
![]() |
เนื้อส่วนในของ "มะละกอยักษ์ เรดแคริเบี้ยน" |
จากการปลูกทดสอบในแปลงพบว่า
ต้นมะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” มีความทนทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีกว่ามะละกอสายพันธุ์อื่นๆ
ที่ปลูกเปรียบเทียบกันในแปลง ลำต้นมะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน”
จะมีขนาดใหญ่ และมีความแข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด ออกดอกและติดผลมีดกมาก
ผลมีขนาดใหญ่ เป็นมะละกอที่มีเปลือกหนาประมาณ 0.3-0.5
เซนติเมตร ซึ่งเป็นผลดีในการขนส่งระยะไกล สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งผลสุกและผลดิบ
โดยเฉพาะผลสุกจะมีรสชาติหวานหอม อร่อยมากๆครับ ส่วนผลดิบใช้ทำส้มตำก็กรอบอร่อยไม่แพ้กัน
และที่สำคัญเป็นมะละกอสายพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้เป็นอย่างดี และทางชมรมเผยแพร่ฯ
ได้ทดลองตัดต้นทำสาวให้มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” คือทำให้ต้นเตี้ยเหมือนต้นที่ปลูกใหม่ และส่งผลต่อการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้น
การจัดการง่ายขึ้น เก็บผลผลิตง่าย และยังได้ต้นแม่พันธุ์เดิม โดยไม่ต้องปลูกใหม่ทุกปี
และช่วยเก็บรักษาต้นแม่เอาไว้ได้นานอีกหลายปี ยกตัวอย่างต้นแม่พันธุ์มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” ที่ชมรมเผยแพร่ฯ
ปลูกและตัดต้นทำสาวมีอายุยืน มีผลผลิตให้เก็บต่อเนื่องนานถึง 4 ปีทีเดียว หลังจากตัดต้นทำสาวเพียง 3-4 เดือน
ยอดใหม่มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” จะเริ่มออกดอกติดผลต่อไป
การเตรียมดินและปลูก
มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน”
สำหรับการเตรียมดินและปลูก มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” ถ้าสภาพดินปลูกมีค่า pH ต่ำกว่า 6.0 ให้หว่านปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ ในอัตรา 200-300 กิโลกรัม/ไร่ คลุกดินโดยการไถพรวน แล้วตากทิ้งไว้ 10-15 วัน เพื่อเป็นการทำลายเชื้อโรค-แมลงศัตรู และกำจัดวัชพืชไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้น
ไถยกร่องเป็นลอนลูกฟูก สูง 30-50 เซนติเมตร กว้าง 2.5-3 เมตร การยกร่องดังกล่าว เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณแปลง
ให้แปลงปลูกระบายน้ำดี ในการเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมกลางร่องปลูก ขนาด 30x30x30 เซนติเมตร ควรจะพรวนดินเป็นหลังเต่า ตอนพรวนก็ให้ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า
3-5 กิโลกรัม ผสมดินในหลุมปลูก รดน้ำให้ชื้นและยุบตัวดี
ระหว่างหลุม 2.5-3 เมตร คลุมบริเวณหลุมปลูกด้วยฟางข้าว
ทิ้งไว้ 7-10 วัน จึงปลูกได้ หรือจะปลูกก่อน
แล้วคลุมฟางทีหลังก็ได้ แต่ในปัจจุบันบางสวนก็ใช้พลาสติกคลุมแปลง
เพราะลดค่าแรงและเวลาการทำหญ้ากำจัดวัชพืช ที่สำคัญแปลงปลูกจะมีความชื้นอย่างสม่ำเสมอ
วิธีการเพาะต้นกล้ามะละกอยักษ์
“เรดแคริเบี้ยน”
สำหรับเคล็ดลับเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกดีและสม่ำเสมอ
รศ.ดร. กวิศร์ วานิชกุล ได้ให้ข้อมูลว่า “การเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกดีสม่ำเสมอนั้น
ให้นำเมล็ดมะละกอแช่น้ำ 1-2 วัน
โดยในช่วงวันแรกให้เปลี่ยนน้ำอย่างน้อย วันละ 1-2 ครั้ง
หลังจากนั้น ให้เปลี่ยนน้ำถี่ขึ้น เนื่องจากเมล็ดมะละกอมีการหายใจมากขึ้น
ทำให้ออกซิเจนในน้ำเหลือน้อยลง หากแช่น้ำแล้วไม่เปลี่ยนน้ำเลยก็จะเหลือออกซิเจนในน้ำน้อย
เมล็ดมะละกอนั้นก็จะเกิดการหมักจนเน่าได้ ในวันที่ 3
ให้นำเมล็ดมะละกอนั้นห่อด้วยผ้าเปียกน้ำหมาดๆ
นำผ้าใส่ไว้ในกล่องพลาสติกหรือกระติกน้ำเก่า และมีการพรมน้ำอยู่เรื่อยๆ ก็ได้
หากแช่เมล็ดมะละกอในน้ำดังกล่าวแล้ว จะทำให้ได้ต้นกล้ามะละกอที่งอกได้ดีและโตสม่ำเสมอกัน”หรือหากจะลดความยุ่งยากและยังไม่มีความชำนาญในการเพาะกล้า
บางท่านก็อาจจะเลือกใช้วิธีของศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยงจังหวัดสุพรรณบุรี แนะนำว่า
ให้แช่เมล็ดพันธุ์มะละกอในน้ำอุ่น (น้ำธรรมดา 1 ส่วน ผสมกับน้ำร้อน
1 ส่วน = น้ำอุ่น) ทิ้งไว้ 1 คืน
เช้าขึ้นมานำเมล็ดมะละกอหยอดลงปลูกในถุงดำขนาดเล็กที่เตรียมไว้ โดยอาจจะใช้วัสดุ
เช่น ขี้เถ้าแกลบดำ 1 ส่วน ผสมกับปุ๋ยหมัก หรือ ดิน 1 ส่วน หยอดเมล็ดมะละกอถุงละ 3 เมล็ด
จากนั้นรดน้ำที่ผสมยาป้องกัน กำจัดเชื้อรา เช่น เมทาแล็กซิล รดให้เพื่อช่วยป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่า
และผสมยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมดคาบเมล็ดมะละกอที่เพาะไว้ เช่น เซฟวิน -85 วางถุงดำไว้ใต้ซาแรนพรางแสง 60% รดน้ำทุกเช้า วันละ
1 ครั้งจากนั้น อีก 7-10 วัน
เมล็ดมะละกอจะเริ่มงอก เมื่อมีใบจริงได้ 2 ใบ ให้นำซาแรนออก
ให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดเต็มที่เพื่อเป็นการปรับตัว
ในช่วงที่ต้นกล้าเริ่มงอกควรฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดเชื้อรา พวกแมนโคเซบผสมกับยาฆ่าแมลง
เช่น เซฟวิน -85 และสารจับใบพรีมาตรอน จากนั้นฉีดพ่นให้ทุกๆ 7 วัน เป็นการป้องกันโรคและแมลงทำลาย จากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ต้นกล้ามะละกอก็สามารถย้ายปลูกลงแปลงไว้ได้ หรือเมื่อต้นกล้าอายุ
45 วัน จึงย้ายลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้
ไม่ควรปลูกต้นกล้ามะละกอลึกจะทำให้รากเน่าในได้
การใส่ปุ๋ยระยะก่อนติดผล
สำหรับการใส่ปุ๋ยระยะก่อนติดผล
ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 2-3
กิโลกรัม/หลุม และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 12-24 -12 เดือนละครั้ง
ครั้งละ 100-150 กรัม/หลุม หลังติดผล ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
2-3 กิโลกรัม/หลุม และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 13-13-21 อัตรา 150 กรัม/หลุม เดือนละครั้ง วิธีการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ทางดิน
ให้หว่านลงดินบริเวณรัศมีทรงพุ่มของมะละกอ แล้วรดน้ำตาม อย่าใส่ปุ๋ยชิดโคนต้นมะละกอ
เพราะจะทำให้มะละกอเสียหายได้หลังจากปลูกต้นกล้ามะละกอไปได้ประมาณ 2-3 เดือน ต้นมะละกอจะเริ่มออกดอก ให้เกษตรกรสังเกตดูการออกดอกของต้นมะละกอภายในหลุมทั้ง
3 ต้น ว่าต้นใดเป็นต้นสมบูรณ์เพศ หรือต้นกะเทย (ผลยาว) ให้คัดต้นสมบูรณ์เพศหรือต้นกะเทยไว้เพียงต้นเดียว
สำหรับต้นตัวเมีย (ผลป้อม) ถ้าไม่ต้องการก็ตัดทิ้ง เพราะผลผลิตที่ออกมาจะเป็นลูกป้อมและถ้าเป็นตัวผู้ให้ตัดทิ้งเลย
โดยปกติแล้วต้นดอกสมบูรณ์เพศหรือดอกกะเทยนั้น ตลาดจะต้องการมากที่สุด
โดยจากการสังเกตการณ์ออกดอกของมะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน”
พบว่ามีเปอร์เซ็นต์การออกดอกเป็นต้นกะเทย (ผลยาว) ค่อนข้างสูง
ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ มีการพบต้นที่ให้ดอกตัวเมีย
(ผลกลม) เพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ส่วนต้นตัวผู้ยังไม่พบในแปลงปลูกการบำรุงรักษา
มะละกอยักษ์ “เรดแคริเบี้ยน” ในฤดูแล้งต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอด
อย่าให้ดินแห้ง ในฤดูฝน ถ้าฝนทิ้งช่วงต้องให้น้ำ
แต่ถ้าฝนตกหนักจะต้องดูแลการระบายน้ำไม่ให้มีน้ำขังบริเวณโคนต้น โดยเสริมร่องปลูกให้สูงอยู่เสมอ
ในช่วง 1-2 เดือนแรก
หลังปลูกมักพบโรครากเน่าโคนเน่าจึงควรราดโคนต้นมะละกอด้วยสารอาลีเอท
ในช่วงฝนตกชุกก็เช่นเดียวกันจะมีโรครากเน่าโคนเน่าระบาดมาก แม้มะละกอจะออกดอกหรือติดผลแล้ว
จำเป็นต้องราดโคนด้วยสารอาลีเอท ทุกๆ 15 วันเป็นที่สังเกตว่า
การหว่านเชื้อไตรโคเดอร์ม่าก่อนปลูกและหว่านซ้ำทุกๆ 4 เดือน
จะช่วยลดการใช้สารเคมีลงกว่าครึ่ง
การกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกมะละกอยักษ์
“เรดแคริเบี้ยน”
สำหรับการกำจัดวัชพืชไม่ควรใช้จอบถางบริเวณโคนต้น
เพราะรากจะถูกรากตัดขาด ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโตหรือทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้
แต่ต้องกำจัดวัชพืชบริเวณใต้ทรงพุ่มไม่ให้มีวัชพืชขึ้น
นอกทรงพุ่มต้องใช้เครื่องตัดหญ้าหรือมีดตัดให้สั้น การคลุมโคนต้นมะละกอ
ใช้ฟางข้าวคลุมโคนต้นมะละกอให้หนา และหมั่นเติมฟางอยู่เสมอ จะช่วยลดวัชพืช
เพราะการคลุมฟางจะทำให้เมล็ดหญ้าไม่งอกและรักษาความชื้นในดิน
หรือหากเป็นสวนมะละกอขนาดใหญ่ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาป้องกันกำจัดวัชพืชในการใช้
ต้องมีความระมัดระวัง มะละกออ่อนแอต่อยาฆ่าหญ้าในการปลูกมะละกอ
ไม่ควรใช้ยาฆ่าหญ้าเลยเป็นดีที่สุด ซึ่งในทางปฏิบัติจริง การใช้สารกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกมะละกอมีข้อจำกัด
และเกษตรกรผู้ปลูกจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะปัญหาเรื่องการใช้ยาฆ่าหญ้าในแปลงปลูกมะละกอ
ไม่ว่าจะเป็นสารฆ่าหญ้าในกลุ่มไกลโฟเสท และสาร 2,4-ดี
ละอองยาสามารถฟุ้งกระจายไปได้นับร้อยเมตร เมื่อต้นมะละกอได้สัมผัสสารฆ่าหญ้า
จะทำให้ใบหงิก และมีลักษณะอาการเหมือนกับโรคไวรัสจุดวงแหวนที่ผ่านมา
ทำให้เกษตรกรหลายรายเข้าใจผิด ว่ามะละกอที่ปลูกเป็นโรคจุดวงแหวน
แต่ความจริงแล้วเกิดจากละอองของยาฆ่าหญ้า ดังนั้น
เกษตรกรที่ปลูกมะละกอจะต้องตระหนักเป็นพิเศษ ไม่ควรฉีดพ่นสารฆ่าหญ้าในแปลงปลูกมะละกอ
โดยเฉพาะช่วงต้นมะละกอยังต้นเล็ก ไม่แนะนำให้ใช้ยาป้องกันกำจัดวัชพืชใดๆ เพราะจะทำให้ต้นมะละกอเสียหายได้ง่าย
แต่ถ้าต้นมะละกอโตแล้ว ก็สามารถเลือกใช้ยาป้องกันกำจัดวัชพืชได้
แต่ต้องระวังละอองยาอย่าให้โดนใบและผลโดยสวนมะละกอหลายๆ สวนขณะนี้ นิยมเลือกใช้ “บาสต้า-เอ๊กซ์” ซึ่งเป็นยาฆ่าหญ้าที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยกับมะละกอโดยเฉพาะระบบราก
เพราะไม่ถูกดูดซับและสะสมในดิน จึงปลอดพิษตกค้าง สามารถกำจัดวัชพืชทั้งใบแคบและใบกว้าง
มะละกอเริ่มเก็บเกี่ยวได้ เมื่ออายุได้ 8-10 เดือน
จะเก็บเกี่ยวเมื่อผลมีสีผิวเปลี่ยนจากเขียวเป็นเขียวอ่อน
หรือปรากฏแต้มสีเหลืองบริเวณปลายผล
ที่มา:
ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัดพิจิตร โทร. (056)
613-021, (081) 886-7398